บันทึกอนุทินครั้งที่ 6 (สรุปบทความ)





บันทึกอนุทินครั้งที่ 6


วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เวลา 08 : 30 – 11 : 30 น.

ว่าที่ ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด

เนื้อหาที่เรียน
วันนี้เป็นการนำเสนอบทความในห้องเรียน


ปัญหาพฤติกรรม และอารมณ์ในเด็ก และแนวทางแก้ไขตามหลักการปรับพฤติกรรมทางด้านจิตวิทยา


พฤติกรรมก้าวร้าว

พม.โพลเผยเด็กก้าวร้าวเกิดจากครอบครัว-สื่อออนไลน์ - Thaihealth.or ...
1.จับมือเด็กไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพื่อให้เด็กหยุดทำพฤติกรรม แล้วพาเด็กไปอยู่ในมุมหรือห้องที่เงียบสงบไม่มีของเล่น
2.ไม่ตำหนิ ประชดประชัน ดุด่า เนื่องจากเด็กอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้เลี้ยงดูต้องการให้เด็กทำ บอกสิ่งที่เด็กควรทำเช่น เด็กที่กำลังตบหน้าตัวเอง ให้จับมือเด็กด้วยสีหน้าสงบ บอกเด็กว่า “เอามือลง”
3.ไม่ลงโทษรุนแรงเพื่อให้เด็กหยุด เพราะอาจทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ถ้าเด็กตอบโต้ไม่ได้อาจทำให้เด็กรู้สึกกดดัน และเกิดเป็นพฤติกรรมรุนแรงต่อเนื่อง
4.เมื่อเด็กใช้พฤติกรรมรุนแรงเพื่อเรียกร้องให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่าให้ในสิ่งที่ต้องการ ควรหยุดพฤติกรรมโดยจับมือเด็กไว้ เมื่ออารมณ์สงบจึงชวนให้เด็กทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ
5.หากครั้งใดที่เด็กอารมณ์ดี หรือไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวให้รีบให้รางวัล การเสริมแรง
 
พฤติกรรมแยกตัว ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน

แก้ปัญหาเมื่อลูกไม่มีเพื่อน”

1.พาเด็กไปเล่นกับเด็กคนอื่น
2.สอนการเล่นกับเด็กอื่นให้ดู เช่น จับมือหยิบของเล่นแล้วยื่นให้เด็กอื่น แบ่งขนมให้เด็กอื่น
3.พาเด็กไปร่วมกิจกรรมกลุ่มที่มีเด็กวัยเดียวกันอยู่ เช่น ศูนย์เด็กเล็ก สวนสาธารณะ
4.ถ้าเด็กเดินเข้าไปหาเด็กอื่น รีบให้รางวัลเพื่อเป็นสิ่งเสริมแรง
5.ให้ญาติหรือคนใกล้ชิดที่มีช่วงวัยใกล้เคียงกันชวนเด็กไปเล่นบ้าง

 อารมณ์ฉุนเฉียว

เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and ...
1.ไม่พูดตอกย้ำ หรือตำหนิพฤติกรรมของเด็ก
2.จับมือเด็กไว้เบาๆ แสดงสีหน้าเรียบเฉย พร้อมบอกเด็กว่า “ลุกขึ้น” ออกแรงดึงเล็กน้อย ถ้าเด็กต้านไม่ควรดึงเด็กขึ้นมา แต่ยังจับมือเด็กไว้
3.ให้เด็กนั่งเก้าอี้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันและค่อยๆเพิ่มระยะเวลาการนั่งทำกิจกรรม
4.ถ้าเด็กยังนั่งตามเวลาที่กำหนดไม่ได้หรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ พยายามลุกเดินหนี ให้จับมือไว้เบาๆ พร้อมบอกว่า “นั่งลง” เมื่อเด็กทำให้รางวัล การเสริมแรง
5.ไม่ควรให้ของที่เด็กต้องการเมื่อเด็กแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว ควรให้เมื่อเด็กมีอารมณ์สงบลงแล้ว
6.หากครั้งใดเด็กอารมณ์ดีให้เข้าไปเล่น และให้รางวัลสิ่งเสริมแรง

 พฤติกรรมแยกจากผู้เลี้ยงดูได้ยาก

เด็กกลัวการไปโรงเรียน/ ไม่อยากไปโรงเรียน - สถาบันเสริมพัฒนาการเด็ก ...
1.ให้เด็กเล่นของเล่นหรือกินของที่ชอบตามลำพังหรือเล่นกับคนอื่น จากนั้นผู้เลี้ยงดูค่อยๆ แยกห่างจากเด็ก โดยยังอยู่ในระยะที่เด็กมองเห็น ค่อยๆเพิ่มระยะเวลาของการแยก จาก 1  นาที เป็น 2 นาที และเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆ
2.จากนั้นผู้เลี้ยงดูค่อยๆ ออกไปให้ลับสายตา แต่ยังส่งเสียงบอกหรือคุยกับเด็กอยู่ ค่อยๆเพิ่มระยะเวลาให้เด็กเห็นไปเรื่อยๆ
3.ค่อยๆลดเสียงพูดกับเด็กลง
4.เมื่อเด็กทำได้ให้รางวัล การเสริมแรง เช่น การชม กอด หอม ยิ้ม ปรบมือ หรือให้สิ่งของที่เด็กชอบ
 พฤติกรรมซน ไม่อยู่นิ่ง

12 วิธีช่วยจัดการเด็กในสมาธิสั้น สำหรับพ่อแม่ | คณะแพทยศาสตร์โรง ...

1.ให้เด็กนั่งเก้าอี้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เล่นของเล่น กินข้าว ทำการบ้าน
2.เพิ่มระยะเวลาการนั่งทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ
3.ถ้าเด็กยังนั่งไม่ครบตามเวลาที่กำหนดหรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ พยายามเดิน ให้จับเด็กไว้เบาๆ พร้อมบอกว่า “ นั่งลง”
4.เมื่อเด็กเริ่มทำได้ให้รางวัล การเสริมแรง
5.พาเด็กไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อปลดปล่อยพลังงานในร่างกาย เช่น ปลูกต้นไม้ ออกกำลังกาย เล่น
6.ลดสิ่งเร้าที่ทำให้เด็กไม่มีสมาธิ เช่น การดูโทรทัศน์ตามลำพัง เนื่องจากภาพในโทรทัศน์เป็นภาพเคลื่อนไหวเร็ว หากจำเป็นต้องดูควรมีผู้เลี้ยงดูคอยแนะนำหรือพูดคุยกับเด็กด้วย
7.จัดสิ่งแวดล้อมและสิ่งของภายในบ้านให้เป็นระเบียบวินัยให้กับเด็ก เช่น เก็บของเล่นเมื่อเล่นเสร็จ เอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไปใส่ตะกร้า วางรองเท้าในที่เก็บ


บทความของ น.ส.กรรณิการ์  แสงสูง


ลักษณะพฤติกรรม การเล่นของ เด็กปฐมวัย



1.พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 0-1 ปี






เด็กวัยนี้ในช่วงแรกเกิด -3 เดือน จะยังไม่สนใจกับการเล่นมากนัก แต่มักจะเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัสการมองเห็นและได้ยิน การแขวนของเล่นที่สดใสที่แกว่งไกวแล้วมีเสียงกรุ๋งกริ๋งช่วยให้เด็กกรอกสายตา ฝึกการมองเห็นและการฟังได้สังเกตความเคลื่อนไหว เมื่อเด็กสามารถบังคับใช้กล้ามเนื้อมือในการเคลื่อนแขน ขา มือ เด็ก จะชอบคว้าจับและสนใจต่อส่งแวดล้อมมากขึ้น ของเล่นที่เด็กชอบ คือ ของที่ถือได้มีสีสดใสและมีเสียง เด็กจะชอบเอาของเล่นเข้าปาก จึงต้องระมัดระวังเรื่องของความปลอดภัย



2. พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 1-2 ปี





เด็กวัยนี้เริ่มเดินได้เองบ้าง แม้จะไม่มั่นคงนัก แต่ก็ชอบเกาะเครื่องเรือนเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่ง ทำให้ได้เรียนรู้ถึงระยะทาง และฝึกการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อต่างๆ ของเล่นควรเป็นกล่องกระดาษมีเชือกร้อยต่อกัน เด็กจะสนุกกับสิ่งใหม่ๆ ที่พบเห็นชอบปีนป่ายขึ้นบันได มุดใต้โต๊ะ เป็นการฝึกทักษะการเคลื่อนไหวซึ่งยังต้องการช่วยดูแลความปลอดภัยจากผู้ใหญ่

3. พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 2-4 ปี





เด็กวัยนี้อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น และทรงตัวได้ดี เพราะกล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ชอบเล่นที่ออกแรงมากๆไม่ว่าจะเป็นวิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย ม้วนกลิ้ง เตะ ขว้างลูกบอล และขี่จักรยานสามล้อ เป็นการฝึกกล้ามเนื้อใหญ่ให้แข็งแรงและเคลื่อนไหว กระฉับกระเฉงขึ้น เด็กจะชอบเล่นอิสระและเลียนแบบท่าทางของคนและสัตว์ การเล่นบทบาทสมมุติจำลองสถานการณ์ต่างๆ ด้วยของเล่นที่เหมือนของจริงช่วยสร้างเสริมจินตนาการให้กับเด็กได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์

4.พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 4-6 ปี





เด็กวัยนี้มีความพร้อมในด้านต่างๆ มากขึ้นมีการเคลื่อนไหวของร่างกายคล่องแคล่วขึ้น ชอบเล่นกลางแจ้งกับเครื่องเล่นสนาม และเครื่องเล่นที่มีลูกล้อขับขี่ได้ สามารถเล่นของเล่นที่ใช้มือจับได้ดีขึ้น เด็กพอใจจะเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่มมากขึ้น ชอบเลียนแบบชีวิตในบ้านและสังคมแวดล้อม โดยการแสดงบทบาทสมมติเป็นเรื่องราวมากขึ้นและมีการกำกับบทบาทของเพื่อนเล่น ชอบฟังนิทาน โคลงกลอน ปริศนาทายคำ ช่างซักถามและตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆที่พบเห็นในเชิงเหตุผล ชอบทดสอบทดลองด้วยตนเอง

บทความของ น.ส.เรวดี  แขวงรถ





พฤติกรรมชอบแย่ง และหวงของเล่น


สาเหตุที่ทำให้เด็กทะเลาะกันเพื่อแย่งของเล่นกันนั้น ได้แก่
1.เด็กอยากเล่นของเล่นชิ้นเดียวกัน แต่ขาดทักษะในการเล่นร่วมกันกับผู้อื่น หรือทักษะในการแบ่งปัน
2. การแข่งกับพี่น้อง ซึ่งเด็กอาจรู้สึกอิจฉาพี่น้องคนอื่น หรือไม่ชอบใจที่พี่หรือน้องได้สิ่งที่ตนต้องการ โดยเห็นว่าเมื่อแย่งของเล่นมาได้แล้ว ของเล่นชิ้นนั้นก็จะตกมาเป็นของตน
3. ความต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่
4. เด็กขาดการแนะนำที่ถูกต้อง หรือผู้ปกครองเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น ผู้ปกครองไม่ได้ห้ามปรามเมื่อเห็นเด็กแย่งของเล่นผู้อื่น เด็กจึงคิดว่าการแย่งของเล่นไม่ใช่เรื่องผิด
5. ความต้องการควบคุมทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งเด็กไม่สามารถควบคุมอะไรอื่นได้นอกจากของเล่นที่ตนเป็นเจ้าของ ผู้ปกครองก็ต้องสอนความจำเป็นในการแบ่งปันให้แก่เด็ก
6. การแสดงความเป็นเจ้าของ โดยเด็กจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทันทีที่คนอื่นมาหยิบของเล่นไป ถึงแม้จะไม่ได้อยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นก็ตาม
7. เด็กจะแย่งของเล่นตราบเท่าที่เด็กคนอื่นแสดงพฤติกรรมลักษณะเดียวกันกับตน
ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือลูกได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. เตรียมลูกให้พร้อมกับการเล่นร่วมกับผู้อื่นด้วยกิจกรรมที่ต้องผลัดกันเล่น เพื่อให้ลูกเรียนรู้ และเข้าใจว่าตนย่อมได้สิทธิ์ในการเล่นอีกครั้งเพียงแต่ต้องรู้จักอดทนและรอ โดยพ่อแม่สามารถทำให้การรอคอยและการแบ่งปันเป็นเรื่องน่าสนุกได้ด้วยการแสดงความกระตือรือร้นในระหว่างที่รอให้ถึงตาตัวเอง
2. จัดให้ลูกได้เล่นกับเพื่อนคนอื่นตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงวัยและพัฒนาการทางสังคมของเด็ก
3. เตรียมลูกให้พร้อมด้วยการบอกล่วงหน้า โดยเมื่อเวลามีแขกหรือเด็กคนอื่นเข้ามาในบ้าน ลูกอาจกังวลว่าเด็กคนอื่นจะทำให้ของเล่นของตนเสียหาย ดังนั้น หากลูกมีความมั่นใจว่าของเล่นทุกชิ้นอยู่ในสายตาของตน ความเป็นไปได้ที่ลูกจะยินยอมให้เพื่อนเล่นของเล่นด้วยย่อมมีมากขึ้น
4. คอยดูแลความเรียบร้อยในขณะที่ลูกกำลังเล่น ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ปกครองสามารถสังเกตพฤติกรรมการเล่นของลูกได้แล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที


 
บทความของ น.ส.วิไลวรรณ พิมสมบูรณ์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.brainkiddy.com/article/37/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99?fbclid=IwAR2RwM1oxApBMYkHQrgfzXQDpu9kUygZQPeP_QZ-ey-GmhifP9xoLR4lgh4


ลูกชอบกัดเล็บทำอย่างไร ชอบกัดเล็บผลเสียอย่างไร




การแก้ปัญหาการกัดเล็บ ลูกชอบกัดเล็บ การเลี้ยงลูก





ทำไมถึงชอบกัดเล็บ

การกัดเล็บ มี การศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็น การลดพฤติกรรมความเครียด ซึ่ง ความเครียด นี้มาจากสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ร้อยละ 99 ของผู้ที่กัดเล็บ เกิดจากปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความเครียด หิว เบื่อ และเพียงแค่ชอบกัดเล็บ


ผลเสียของปัญหาการชอบกัดเล็บ
•การกัดเล็บมีผลเสียต่อบุคลิกภาพ การกัดเล็บให้คนเห็นนั้นทำให้ดูบุคลิกภาพไม่ดี เมื่อเกิดการต่อต้านจากคนในสังคมนั้นๆ จะส่งผลต่อผู้ที่ชอบกัดเล็บ เช่น การไม่อยากเข้าสังคม ไม่กล้าเผชิญหน้ากับคน


•การกัดเล็บมีผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากมือของคนเราเป็นส่วนที่สัมผัสกับเชื้อโรคมากที่สุด และในเล็บตามซอกเล็บเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ที่มีมาก
•การกัดเล็บ มี ผลเสียต่อฟัน การกัดเล็บบ่อยๆ อาจทำให้ฟันผิดรูปและไม่สวย เป็นสาเหตุของการเสียบุคลิกภาพ เพิ่มขึ้นอีก
•การกัดเล็บ มี ผลเสียต่อนิ้วมือและเล็บ การกัดเล็บ ทำให้เกิดแผล อาการช้ำ อาการบวม ซึ่งอาจส่ง ผลต่อการผิดรูปผิดร่างของมือและเล็บ ได้

วิธีการแก้ปัญหาการชอบกัดเล็บ
1.หากิจกรรมให้เด็กทำ แนะนำให้กิจกรรมที่เป็นการใช้มือมากๆ จะทำให้เด็กสนุก ผ่อนคลาย และไม่มีเวลาว่างในการกัดเล็บ
2.ลดความเครียดของลูก ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกกรมที่ต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อน หรือการใช้ชีวิตของเด็ก พ่อกับแม่ต้องสังเกตุพฤติกรรมของลูก อย่างใกล้ชิด
3.อธิบายให้ลูกเข้าใจ การห้ามกัดเล็บนั้นสำหรับเด็กบางคน ดื้อ จะไม่เชื้อฟัง ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงปัญหาการกัดเล็บ
4.หาตัวอย่างปัญหาจากการกัดเล็บให้ลูกดู หากเด็กเห็นตัวอย่างปัญหาด้านสุขภาพจากการกัดเล็บ เด็กจะเกิดการกลัวในการกัดเล็บ และไม่กล้ากัดเล็บไปเอง
5.ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ หากไม่มีเล็บให้กัดได้แล้ว เด็กบางคนจะเลิกกัดเล็บไปเอง
6.หาบอระเพ็ดมาทาเล็บเด็กหากมีรสขมที่ปากขณะกัดเล็บ จะเลิกกัดเล็บไปเอง
บทความของ น.ส.อัญธิฌา แก้วคนครง


ผลลัพธ์ของการเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล


1.ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวและขาดความยับยั้งชั่งใจ

emotionreason_web_1

เด็กๆ ที่ถูกเลี้ยงดูด้วยอารมณ์ตั้งแต่ขวบแรก จะเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้นเมื่อมีอายุครบสองขวบ และมีผลกระทบกับกระบวนการทางความคิดในวัยสามขวบขึ้นไป ส่งผลให้ลูกใช้กำลัง ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงทำลายข้าวของ
การใช้เหตุผล ลูกในวัย 2-6 ขวบ เป็นช่วงเรียนรู้ระเบียบวินัย ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่สามารถทำได้คือ การแนะนำ อธิบายให้ลูกเรียนรู้ และเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่สำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการลงโทษลูกด้วยการตี


2.ลูกมีพฤติกรรมชอบรังแกเพื่อนเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

emotionreason_web_2

เลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ในระยะสั้นจะส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ทำให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัว แต่ในระยะยาวส่งผลให้ลูกเลียนแบบพฤติกรรมไม่น่ารัก ด้วยการใช้คำพูดและรังแกเพื่อนหรือคนรอบตัว เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
การใช้เหตุผล สอนและคุยกับลูกด้วยเหตุผล ใช้ถ้อยคำที่นุ่มนวล ชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ต่างๆ ที่จะตามมาเมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่น่ารัก รวมถึงสอนให้ลูกภูมิใจในตัวเอง เพื่อให้ลูกมั่นใจและพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ดีกับคนอื่น


3.เป็นต้นเหตุทำลายความผูกพันในครอบครัว

emotionreason_web_3

นอกจากการเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์จะส่งผลกระทบกับพฤติกรรมและจิตใจของลูกแล้ว ยังส่งผลกับความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ยกตัวอย่างเช่น เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทและใช้ความรุนแรง รวมถึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกห่างเหิน ทำให้ลูกขาดความใกล้ชิด รู้สึกไม่ได้รับความรัก ความใส่ใจ
การใช้เหตุผล การลงโทษเป็นการควบคุมลูกให้อยู่ในระเบียบ แต่สิ่งที่ลูกรู้สึกคือพ่อแม่กำลังพยายามทำร้าย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนจากการลงโทษมาเป็นวางข้อตกลงและแนะนำลูก ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “จะต้องให้แม่ พูดอีกกี่ครั้งว่าให้เล่นเบาๆ” เปลี่ยนเป็นบอกลูกว่า “ลูกเล่นแรงไปแล้ว แม่จะให้ลูกหยุดเล่นก่อน เพราะมันอันตราย ถ้าลูกนิ่งแล้วเรามาเล่นกันใหม่”


4.ลูกติดนิสัยโกหก

emotionreason_web_4

เพราะการพูดความจริงจะถูกคุณพ่อคุณแม่ลงโทษอย่างรุนแรง ลูกเลยเลือกที่จะโกหกเพื่อปกปิดความผิดที่ทำ เมื่อโกหกบ่อยๆ กลายเป็นนิสัยติดตัว
การใช้เหตุผล สร้างความไว้วางใจให้ลูกและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกโกหก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกทำน้ำหกเลอะลงพื้น แทนที่จะพูดว่า “นั่นลูกทำอะไรน่ะ” เปลี่ยนเป็นบอกลูกว่า “แม่เห็นลูกทำน้ำหก ไปหาผ้ามาเช็ดพื้นด้วยนะคะ”

บทความของ น.ส.กาญจนา ศรีสุข
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://aboutmom.co/features/emotion-more-than-reason/12153/?fbclid=IwAR0rV9b8IcA-I8ablWcy5nYlxXflZYG3dHk9J1KKXW25-N87U-XHN2BfkFE





การประเมินผล


ประเมินอาจารย์
อาจารย์อธิบายเพิ่มเติมในเนื้อหาของแต่ละคนได้อย่างเข้าใจ และอธิบายคำศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ประเมินตนเอง
นำเนอได้ไม่ค่อยดี เพราะวันนี้ไม่ได้มีการเตรียมตัวมา ครั้งหน้าจะทำให้ดีกว่านี้ และจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
เพื่อนส่วนใหญ่นำเสนอบทความของตัวเองได้ดี
มินนี่ เมาส์ โดยบุบบิบ em 2020










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น